วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 กองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 แถลงข่าวประชาสัมพันธ์ ประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 139 ณ ศูนย์เสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี พันเอก นายแพทย์ วิโรจน์ ชนม์สูงเนิน รองโฆษกกองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 เป็นผู้แถลงข่าวฯ มีสาระสำคัญดังนี้
จากข้อมูลของ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า สถานการณ์ของโรคไข้หูดับ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -11 มิถุนายน 2564 พบผู้ป่วยแล้ว 243 ราย เสียชีวิต 11 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุและวัยทำงาน ส่วนภาคที่มีอัตราป่วยที่สุดคือ ภาคเหนือ (พบผู้ป่วย 162 ราย คิดเป็นร้อยละ 66 ของผู้ป่วยทั้งหมด) จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ลำปาง พะเยา อุตรดิตถ์ นครราชสีมา และสุโขทัย ตามลำดับ ส่วนข้อมูลสถานการณ์ของโรคดังกล่าวในปี 2563 ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยแล้ว 342 ราย เสียชีวิต 12 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยในภาคเหนือจำนวน 217 ราย คิดเป็นร้อยละ 63 ของผู้ป่วยทั้งหมด ดังนั้น ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามวิธีการป้องกันโรคไข้หูดับอย่างเคร่งครัด
อีกทั้ง จากกรณีที่มีรายงานข่าวพบผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หูดับในจังหวัดพิษณุโลก นั้น กรมควบคุมโรค ได้ให้ข้อมูลว่า จากรายงานการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า ผู้ป่วยซื้อหมูจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งมาประกอบอาหารปิ้งย่างหมูกระทะร่วมกับเพื่อนจำนวนหนึ่ง ต่อมามีอาการท้องเสีย เป็นไข้ อาเจียน ไปรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก แพทย์สงสัยป่วยด้วยโรคไข้หูดับ จึงนำเลือด ส่งตรวจผลยืนยันติดเชื้อแบคทีเรียสเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส ต่อมาอาการหนักจนกระทั่งเสียชีวิต ขณะนี้กรมควบคุมโรค ได้มอบหมายให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรค ที่ 2 จังหวัดพิษณุโลก (สคร.2 พิษณุโลก) ส่งทีมปฏิบัติการสอบสวนควบคุมโรค (JIT) เมื่อมีเหตุโรคและภัยสุขภาพ ลงพื้นที่ร่วมกับโรงพยาบาลพุทธชินราช สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก และหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องแล้ว พร้อมทั้งสื่อสารและประชาสัมพันธ์ให้หลีกเลี่ยงการกินหมูดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ เพราะเสี่ยงป่วยโรคไข้หูดับได้
โรคไข้หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococcus Suis) โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1. เกิดจากการบริโภคเนื้อและเลือดหมู ที่ปรุงแบบดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ 2. การสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมู ที่เป็นโรค จากทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา หรือสัมผัสเลือดของหมูที่กำลังป่วย หลังจากได้รับเชื้อ 3-5 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง หูหนวก ท้องเสีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หากพบว่ามีอาการดังกล่าว ขอให้รีบพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการกินหมูดิบและสัมผัสเนื้อหมูให้ทราบเพราะหากมาพบแพทย์และวินิจฉัยได้เร็ว จะช่วยลดอัตราการเกิดหูหนวกและการเสียชีวิตได้ ซึ่งผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน ไต มะเร็ง หัวใจ ผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น หากติดเชื้อจะมีอาการป่วยรุนแรงเนื่องจากร่างกาย มีภูมิต้านทานโรคต่ำ
ในการนี้ พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3/ผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพภาคที่ 3 มีความห่วงใยต่อข้าราชการทหาร ในสังกัดกองทัพภาคที่ 3 และพี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ต่อโรคดังกล่าว ขอความร่วมมือประชาชนให้ระมัดระวังเรื่องการประกอบอาหารและรับประทานอาหารดังกล่าว โดยขอให้เน้นการรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ใหม่ และสะอาด โดยเฉพาะเนื้อหมูที่ชำแหละกันเองในหมู่บ้าน และนำมารับประทานดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบ หลู้หมูดิบ ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านที่มีการใส่เลือดหมูดิบผสม หรือการปิ้งย่างไม่สุก ทำให้เสี่ยงโรคไข้หูดับ พร้อมแนะนำวิธีการป้องกันโรคไข้หูดับ ได้แก่
1. ควรบริโภคอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อน ทำสดใหม่ โดยเฉพาะเนื้อหมู ควรเลือกซื้อเนื้อหมูจากตลาดสด หรือห้างสรรพสินค้า ที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากกรมปศุสัตว์ ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ ขอให้แยกอุปกรณ์ที่ใช้หยิบเนื้อหมูสุกและดิบออกจากกัน ไม่ใช้เขียงของดิบและของสุกร่วมกัน
2. ไม่สัมผัสเนื้อหมูและเลือดดิบด้วยมือเปล่า โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ควรสวมรองเท้าบู๊ทยาง สวมถุงมือ รวมถึงสวมเสื้อที่รัดกุมระหว่างทำงาน หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด และล้างมือหลังสัมผัสกับหมูทุกครั้ง
ทั้งนี้ หากพบว่าตนเองหรือคนรอบข้างมีอาการบ่งชี้ หรือสงสัยว่ามีภาวะหรืออาการขั้นต้น ขอให้ได้ไปพบแพทย์ ณ โรงพยาบาลทหารทั้ง 10 แห่งในพื้นที่ภาคเหนือ หรือโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขใกล้บ้าน เพื่อคัดกรอง วินิจฉัย และรักษาต่อไป