ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเผยสมาชิก ‘อุตรดิตถ์ปลดแอก’ ถูก ตร.ติดตามคุกคามต่อเนื่อง หลังจัดกรวดน้ำอาลัย จนท.ฉีดสารเคมี
23 พ.ย. 2563 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่าได้รับการเปิดเผยจาก “เอกรัฐ” (นามสมมติ) อายุ 29 ปี สมาชิกของกลุ่มอุตรดิตถ์ปลดแอก ว่าภายหลังเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2563 ทางกลุ่มได้จัดกิจกรรมยืนสงบนิ่ง และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมในกรุงเทพฯ เขาได้ถูกเจ้าหน้าที่ติดตามถึงบ้านของแฟนและโทรศัพท์หาคนในครอบครัว ทั้งช่วงก่อนและหลังกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อพยายามห้ามไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมือง
เอกรัฐระบุว่าตนไม่ใช่คนจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่มาอาศัยอยู่กับแฟนในอำเภอลับแล และช่วยเหลืองานในองค์กรที่ทำงานด้านสาธารณประโยชน์ ก่อนหน้านี้ทางกลุ่มอุตรดิตถ์ปลดแอก ได้เคยจัดชุมนุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 63 บริเวณริมแม่น้ำน่าน ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อสลายการชุมนุมบริเวณแยกปทุมวัน ในกรุงเทพฯ โดยเอกรัฐเป็นหนึ่งในทีมงานผู้จัดด้วย
หลังกิจกรรมนั้นไม่นาน เอกรัฐระบุว่าได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบในอำเภอลับแล เดินทางมาที่บ้านแฟนของเขา โดยมาสอบถามกับพ่อแม่ของแฟน แต่ตอนนั้นเขาและแฟนไม่ได้อยู่บ้าน จึงไม่ได้พบเจ้าหน้าที่
หลังจากนั้นประมาณช่วงสิ้นเดือนตุลาคม ยังได้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ 1 นาย ระบุว่ามาจากสภ.เมืองอุตรดิตถ์ เดินทางมาที่บ้านของแฟนเอกรัฐอีก โดยคราวนี้ได้มาในช่วงค่ำระหว่างเขากับเพื่อนรับประทานอาหารกันอยู่ และได้เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง และมีการกล่าวเตือนเขาในลักษณะว่าให้ระมัดระวังในการไปร่วมหรือทำกิจกรรม คิดให้ดีๆ ก่อนทำอะไร
จนกระทั่งเมื่อมีเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่บริเวณรัฐสภาในกรุงเทพฯ อีกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่มีการฉีดน้ำแรงดันสูง พร้อมผสมสารเคมี และใช้แก๊สน้ำตาต่อผู้ชุมนุม เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 63 ทำให้ทางกลุ่มอุตรดิตถ์ปลดแอกได้ตกลงกันจัดกิจกรรมคัดค้านการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ในลักษณะดังกล่าว โดยนัดหมายร่วมกันยืนสงบนิ่ง และกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้กลับตัวกลับใจ ไม่ทำตามคำสั่งที่ไม่ชอบธรรม โดยนัดหมายพบกันที่หน้าอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก ในวันที่ 18 พ.ย. 63
แต่ช่วงเช้าวันที่ 18 พ.ย. ได้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ รวม 3 นาย เดินทางมาที่บ้านแฟนของเอกรัฐอีก และสอบถามถึงเขา โดยมีการเตือนคนที่บ้านว่าจะทำอะไร ขอให้ระมัดระวังตัว ให้คิดให้ดีๆ เพราะเห็นว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน จึงมาเตือนก่อน ตำรวจยังพูดถึงการโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของแฟนของเอกรัฐ ว่าเห็นโพสต์ต่างๆ เรื่องการเมือง ขอให้ระวัง เพราะจะส่งผลกระทบถึงการสมัครงาน จึงเข้าใจว่าได้มีเจ้าหน้าที่มาติดตามเฟซบุ๊กของทั้งคู่ด้วย
จากนั้นในช่วงบ่าย ยังมีบุคคลอ้างเป็นตำรวจ โทรศัพท์ไปหาแม่ของแฟนเอกรัฐ บอกว่าไม่อยากให้ลูกไปร่วมชุมนุมทางการเมือง เพราะจะส่งผลกระทบต่องาน จึงสร้างความกลัวให้กับแม่ จึงพยายามโทรมาห้ามไม่ให้ทั้งเอกรัฐและแฟนไปร่วมการชุมนุม
ต่อมาราว 13.00 น. ทางทีมผู้จัดได้เดินทางไปยื่นหนังสือที่สภ.เมืองอุตรดิตถ์ เพื่อขอใช้สถานที่ที่หน้าอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก เพื่อยืนสงบนิ่ง ไม่ใช่การจัดชุมนุม แต่ตำรวจอ้างว่าจะเข้าข่ายเป็นการชุมนุม ขอให้แจ้งการชุมนุมไว้ ทางผู้จัดจึงยินยอมแจ้งการชุมนุมเอาไว้ ในการเข้าไปในสถานีตำรวจ ทีมผู้จัดยังมีการใส่เสื้อกันฝน สวมแว่นตากันน้ำ และถือตุ๊กตาเป็ดเหลืองเข้าไปด้วย ทำให้ทางตำรวจพยายามอ้างความเป็นสถานที่ราชการในการแต่งกายเข้ามาภายในสถานีด้วย
นอกจากนั้น ทางผู้จัดยังพยายามสอบถามตำรวจ เรื่องการไปติดตามคุกคามที่บ้านแฟนของเอกรัฐ เจ้าหน้าที่ก็ระบุว่าไม่รู้และไม่ทราบ อ้างว่าอาจจะเป็นการดำเนินการของหน่วยงานอื่น ทางทีมผู้จัดจึงยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ควรไปหาใครที่บ้านอีก ถ้าไม่ได้มีการนัดหมาย
กิจกรรมในเย็นวันดังกล่าว ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบมากกว่า 30 นาย ติดตามจับตากิจกรรม โดยเอกรัฐทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ของจังหวัดมาติดตามจับตาด้วย โดยทีมผู้จัดใส่ชุดกันฝน ถือตุ๊กตาเป็ดสีเหลือง และเตรียมขวดน้ำไปให้ผู้เข้าร่วมสำหรับกรวดน้ำด้วย กิจกรรมมีการยืนสงบนิ่ง พร้อมกับชูสามนิ้วระหว่างเคารพธงชาติ ก่อนจะกรวดน้ำร่วมกัน เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการขัดขวางกิจกรรม
หลังจากการจัดงาน ในวันที่ 19 พ.ย. ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบจากสภ.ลับแล แวะเวียนมาที่บ้านแฟนของเอกรัฐอยู่อีก โดยได้มาพบกับยาย และกล่าวเตือนในลักษณะเดิมๆ ว่าอยากให้เขากับแฟนหยุดการเคลื่อนไหว เพราะจะส่งผลกระทบต่อครอบครัวและการงาน
นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่อ้างเป็นตำรวจโทรศัพท์ติดต่อมาที่แม่แฟนของเอกรัฐหลายครั้ง กล่าวในลักษณะเดิมว่าไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหว โดยเจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยโทรศัพท์มาหาตนกับแฟนเองเลย เอกรัฐระบุว่าหากเจ้าหน้าที่ยังไม่หยุดติดตามคุกคาม ก็จะเดินทางไปสอบถามที่สถานีตำรวจต่อไป