ชาวนาดีใจ ‘ประกันรายได้ช่วยชาวนาได้จริง’ วอนรัฐดูแลค่ายา เดินหน้าจัดโซนปลูกข้าว ตอบโจทย์ความต้องการค้าโลก
เมื่อเวลา 10.45 น. วันที่ 21 กุมภาพันธ์ นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวช่วงเสวนาหัวข้อ “โครงการประกันรายได้สินค้า 5 สินค้าเกษตร” ในงานสัมมนาเรื่อง ประกันรายได้สินค้าเกษตร 5 สินค้า ณ อาคารสํานักงาน บริษัท มติชน จํากัด (มหาชน) ว่าเศรษฐกิจของพืชไร่และพืชเศรษฐกิจในปี 2565 ต้องยอมรับว่าช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด ทำให้ประเทศไทยประสบปัญหาการขนส่งสินค้าออกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก จากตามข่าวสารชี้ว่า ค่าขนส่งเพิ่มขึ้น 4-5 เท่า เรือขนส่งและตู้คอนเทนเนอร์ก็ขาดแคลน เมื่อการส่งออกไม่ดีจะส่งผลกระทบต่อชาวนาเช่นกัน เพราะไทยมีปริมาณการส่งออกข้าวสาร จำนวน 50% ของผลผลิตในประเทศ แม้จะมีปัญหาบ้าง แต่รายได้ก็ไม่ได้รับผลกระทบมากจนเกินไป เพราะว่ามีการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวจากรัฐบาลเข้าช่วยเหลือ
อ่านข่าวเกี่ยวข้อง
– เริ่มแล้ว! สัมมนา “ประกันรายได้สินค้าเกษตร 5 สินค้า โดยกระทรวงพาณิชย์”
– จุรินทร์ นำ “ประกันรายได้พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย” เดินหน้าปี 3 สู่ปีที่ 4 ชี้ตัวช่วย ศก. รายได้ การเมือง
– ค้าภายใน ชี้ประกันรายได้สร้างหลักประกันอาชีพเกษตร ยันโปร่งใส ทุกบาทเข้าบัญชีเกษตรกร
นายปราโมทย์กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายประกันรายได้เกษตรกรที่ได้ดำเนินการมากว่า 3 ปี จากที่ชาวนาเผชิญหน้ากับภัยแล้ง และบางพื้นที่เจออุทกภัยหรือน้ำท่วม ทำให้ผลผลิตเสียหายและทำนาข้าวต่อไปไม่ได้ แม้ว่าจะได้แต่ผลผลิตได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่โชคดีที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีโครงการประกันรายได้ มีราคาที่ชัดเจน เมื่อข้าวได้ราคาต่ำกว่าทุน รัฐบาลก็ช่วยชดเชยรายได้ ถึงมือชาวนาโดยตรง ทำให้ชาวนาอยู่รอดได้ และมีกำไร ซึ่งเป็นผลดีต่อชาวนารายย่อยที่มีพื้นที่ไม่เกิน 20 ไร่ และเป็นชาวนาส่วนใหญ่ของประเทศ
“ผลที่ได้รับจากโครงการประกันรายได้เกษตรกรของรัฐบาลนั้น ชาวนาทั่วประเทศก็พอใจ ชาวนาไทยดีใจ เพราะว่าชาวนาได้รับอานิสงส์จากโครงการ เพราะถ้าไม่มีโครงการ ราคาข้าวก็ลดลงเหลือกิโลกรัมละ 5-6 บาท ชาวนาก็อยู่ไม่ได้”
นายปราโมทย์กล่าวตอบข้อซักถามที่ว่าส่วนอนาคตของราคาข้าวจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้ามีโครงการประกันรายได้ต่อไปนั้น ก็ได้เสนอไปแล้วว่า อยากให้รัฐบาลดำเนินโครงการประกันรายได้อย่างต่อเนื่อง เพราะจะช่วยวางรากฐานให้กับเกษตรกร และได้รู้ทิศทางแล้วว่าข้าวที่เกษตรกรผลิตออกมาแล้ว ก็มีโครงการประกันรายได้รองรับ และเท่าที่สอบถามสมาชิก ต่างก็พอใจ เพราะเงินจากโครงการไม่มีการทุจริต โอนถึงมือเกษตรกรโดยตรง สมมุติว่าข้าวที่มีความชื้น 15% ราคาจะได้ 8 พันบาทต่อตัน ส่วนข้าวความชื้นสูง 25-30% ราคาก็ลดลงเหลือ 6 พันบาทต่อตัน ซึ่งรัฐบาลก็เข้าช่วยชดเชยให้ตามสัดส่วน เป็นอานิสงส์ที่ชาวนาทุกคนเห็นดีด้วยกับโครงการประกันรายได้เกษตรกร
เมื่อถามถึงเรื่องการพัฒนาคุณภาพของข้าว ถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น อยากเสนอว่า เกษตรกรผู้ปลูกข้าวไทย ยังสร้างผลผลิตได้สูง แต่ขณะเดียวกัน ต้นทุนของการผลิตในประเทศก็สูงเช่นเดียวกัน ทั้งราคาน้ำมันที่สูง ราคาปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชที่ราคาแพง ถือเป็นต้นทุนหนักของชาวนาไทย ได้คุยกับกรมการค้าภายในและกรมการข้าว ซึ่งทุกหน่วยงานได้รับปากแล้วว่าจะจัดการให้ ทั้งราคาปุ๋ยและยา รวมถึงราคาน้ำมันถูกลง ถ้าเป็นไปได้ให้ชาวนาสามารถควบคุมต้นทุนได้ในระดับราคา 4.5-5 พันบาทต่อไร่ และผลิตได้ผลผลิตสูง ชาวนาก็อยู่ได้
นายปราโมทย์กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกร อยากให้ดำเนินการต่อไปในระยะยาว เพราะว่าชาวนาชอบโครงการนี้มาก ขณะเดียวกันเพื่อปรับในทันสถานการณ์ ได้เริ่มการจัดโซนพื้นที่เพาะปลูกพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับพื้นที่ อาทิ ภาคอีสานจะเป็นข้าวหอมมะลิ 105 ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานอื่น ส่วนของสมาคมดูแลพื้นที่ภาคกลาง อย่างกำแพงเพชร ชัยนาท จะทำเป็นข้าวพื้นนุ่ม คือ กข79 และ กข81 ทั้งเพื่อการบริโภคในประเทศ และส่งออก ส่วนอุตรดิตถ์ ก็เป็นข้าวพื้นแข็ง หลังจากนี้จะไม่เป็นการทำนาแบบสะเปะสะปะ จะแบ่งเป็นพื้นที่ไป
และการทำหน้าที่ประสานงานกับโรงสีในพื้นที่ และประสานงานกับส่งออก ว่าต้องการข้าวชนิดไหนที่เป็นความต้องการของต่างประเทศ และสมาชิกของสมาคมก็จะบริหารจัดการตามความต้องการ ซึ่งข้าวบางส่วนก็ไม่ต้องพึ่งพาโครงการประกันรายได้ อาทิ ข้าวพื้นนุ่ม กข79 และ กข81 ที่กำแพงเพชร 1.8 หมื่นไร่ ซึ่งเป็นที่ต้องการของโรงสีที่มีการแย่งกันซื้อ ทำให้ชาวนาส่วนนี้กำหนดราคาข้าวเองได้ ซึ่งทำให้ชาวนาสามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่