บทความพิเศษ / ทีมงานหญ้าแห้งปากคอก(ท้องถิ่น)
มิติการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น
มองในแง่การพัฒนาท้องถิ่น ต้องเป็นเรื่องที่ชาวบ้านได้รับการพัฒนา และชาวบ้านได้ประโยชน์จริง แต่ปัจจุบันและในรอบหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาภาครัฐจะติดขัดระเบียบกฎหมายที่บางหน่วยงานราชการอ้างบังคับใช้แบบ “เลือกปฏิบัติ” และ “ไม่เข้าใจวิถีวัฒนธรรมชาวบ้าน” บางครั้งเป็นอุปสรรคการพัฒนาด้วยซ้ำไป ยิ่งจุดอ่อนการทำงานของราชการไทย คือ การทำงานแบบ “Playsave” ไม่เสี่ยง ไม่กล้าเดินหน้า ไม่เชิงรุก (proactive) แต่เน้นเชิงรับ (reactive) แบบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้งคราวไป นอกจากนี้ การทำดีของข้าราชการใช่ว่าจะได้ดี ถ้าทำ “ไม่ถูกใจ” นี่เป็นจุดอ่อนยิ่งของข้าราชการไทย ฉะนั้น โครงการพัฒนาโดยคนภาครัฐโดยแนวคิดของ “เทคโนแครต” หรือ “หัวไอ้เรือง” จึงนับวันยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริง ของความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ห่างจากวัฒนธรรมพื้นบ้าน (Folk Culture) ห่างจากวิถีขนบประเพณีของชาวบ้าน หรือ “Folklore” (ศัพท์สังคมวิทยาว่า คติชนวิทยา) หรือ ห่างไกลจากวิถีชีวิตประจำวันของชาวบ้าน ที่เรียก วิถีประชา (folkways) เพราะวัฒนธรรมในวิถีชีวิตแบบชาวบ้านชาวชนบทนั้น มีสิ่งตกทอดทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตำนานพื้นบ้าน นิทานพื้นบ้าน เรื่องเล่า เพลงพื้นบ้าน ดนตรีพื้นบ้าน งานช่างฝีมือชาวบ้าน ฯลฯ เหล่านี้มันหลอมรวมอยู่ในแต่ละท้องถิ่นที่ไม่เหมือนกัน
จึงเกิดแนวคิด “แนวทางการจัดการท่องเที่ยวโดยใช้คติชนของชุมชน” ขึ้น แต่หากในภาพรวมในหลายๆ อย่างกว้างก็เป็น “การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม” ที่สามารถสร้างสิ่งแปลกใหม่แก่การท่องเที่ยวที่เป็น “นวัตกรรม” ได้ (an innovative for tourism) หลายชาติที่มีประวัติศาสตร์มีวัฒนธรรมจึงร้อยเรียง มีจุดกล่อมเกลา ของแต่ละชาติที่ต่างกันให้มีการ “ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม” เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นถิ่นไป เพราะ วัฒนธรรมมักมีการปรุงแต่งขึ้น คล้ายกับประวัติศาสตร์ที่อาจถูกบิดเบือน ที่นักประวัติศาสตร์ต้องชำระคดีทางประวัติศาสตร์ให้ได้ว่าความจริงแท้คืออะไร เช่น ไทยรบพม่า แต่พม่าบอกไม่ได้รบไทยมากมายตามที่คนไทยคิด ที่มีนัยยะในกรอบแนวคิดทางวัฒนธรรมที่ในรายละเอียดที่แตกต่างกันคนละขั้ว
ประวัติศาสตร์พื้นบ้าน เพียงเป็นคำบอกเล่า คำเล่าขาน นิทานปรัมปรา ที่ไม่ได้จารึก แม้จะมีการบันทึกกัน ก็เป็นการบันทึกในรุ่นหลังๆ ส่วนประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองล้วนเขียนโดยชนชั้นนำ การสืบทอด ที่หมายถึง วัฒนธรรม (culture) จึงถูกนำโดยผู้นำ ส่วนประวัติพื้นบ้านจะหลงเหลืออยู่บ้างก็โดยเพียงคำบอกเล่า คำเล่าขาน และการประพฤติปฏิบัติในวิถีชีวิตจนเป็นประเพณี (Folklore) เช่น ฮีต 12 คอง 14 ของคนลาวและคนอีสานที่เหมือนกัน เพราะเป็นคนในภูมิภาคเดียวกันที่สืบสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกันมาช้านาน งานประเพณีท้องถิ่นต่างๆ ที่สื่อถึงความเป็นอยู่ แต่หากอิงไปถึงการเมืองการปกครองไปพาดพิงถึง “อำนาจปกครองบ้านเมือง” จึงมักจะถูกตัดออก หรือถูกขัดเกลาเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้น ฮีต 12 จึงพูดแต่เรื่องการทำบุญในรอบ 12 เดือนเท่านั้น
ประวัติผู้นำผู้ปกครองเมือง จึงมักถูกล้มล้างโดยผู้นำฝ่ายตรงข้าม ผลัดเปลี่ยนกันไป กบฏต่างๆ จึงถูกป้อนข้อมูลให้เป็นฝ่ายตรงกันข้ามที่ไม่ดี ชั่วร้าย มิใช่วีรบุรุษ แต่ประวัติศาสตร์ในความเป็นอยู่ของชาวบ้านนับแต่อดีตมา สามารถนำมาสื่อได้ตลอด ตราบที่ไม่ไปกระทบกับระบบการปกครองบ้านเมือง จึงกล่าวได้ว่า หากจะสื่อสารถึงวัฒนธรรม เช่น “การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม” จึงหาลุกหนีไปไม่พ้นในวัฒนธรรมที่ถูกปรุงแต่งมาแล้ว กล่าวคือ ในรายละเอียดที่เป็นข้อเท็จจริงอาจคลาดเคลื่อนกับความจริงที่เป็นจริงได้มากน้อยต่างกันไป เพราะมันเป็นตำนานเล่าขาน ไม่มีหลักฐานยืนยัน แม้บางอย่างอาจมีหลักฐานยืนยัน เช่น สถูป เจดีย์ วัดโบราณ ร่องรอยทางประวัติศาสตร์โบราณ ก็ยังคลาดเคลื่อนที่นักประวัติศาสตร์ต้องชำระ
ฝ่ายศาสนา ก็ถูกนำด้วยการปกครอง เรียก อาณาจักร ไม่สามารถนำธรรมวินัยมาปกครองโดยตรงได้ แต่ใช้กฎหมายบ้านเมืองไปปกครองศาสนา ที่ฝ่ายปกครองบ้านเมืองตามคติความเชื่อแบบ “เทวราชา” (Devine Right) ที่ถือว่า กษัตริย์หรือผู้ปกครองบ้านเมืองคือ “สมมุติเทพ” ปกครองบ้านเมืองด้วยหลัก “กฎหมายมนู” หรือ “พระธรรมศาสตร์” (Dharmasastras) หรือ “พระมนูศาสตร์” (The Laws of Manu) ที่รับมาจากชาวฮินดู (อินเดีย) และไทยรับต่อมาจากขอม (ชนชั้นปกครองเขมรโบราณ) มาช้านานตามความเชื่อ โดยเฉพาะที่เป็นรูปธรรมชัดเจนคือตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมา ยศช้าง ขุนนางพระ จึงมีอยู่
วัฒนธรรมพื้นถิ่นอีสาน เช่น อุบลราชธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร และในอีกหลายจังหวัดถือว่าเข้มแข็ง ที่มีการสืบทอดต่อกันมายาวนาน ส่วนอำนาจภาครัฐก็เข้ามาส่งเสริม ชี้นำ ประเพณีพื้นถิ่นเหล่านี้ โดยเฉพาะในแง่ของเงินงบประมาณ ที่นอกเหนือจากการปกครอง แต่อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมพื้นถิ่นเช่น การละเล่น ดนตรี การแสดงศิลปินพื้นบ้านต่างๆ ที่พัฒนาไปถึง “รถแห่” ดนตรีพื้นบ้าน เป็นวัฒนธรรมที่ได้กระจายไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านถึงลาว เขมร พม่า ที่ต่อไปอาจไปได้ถึงยุโรป อเมริกา ตามคนพื้นถิ่นที่อพยพไปอาศัยอยู่กระจายไปสู่ต่างชาติ เหมือนดังเช่น คนจีนมีประเพณีแห่สิงโต กินเจ ไปทั่วโลกที่มีคนจีนอยู่ เป็นต้น ปัจจุบันพบว่า การทำเครื่องเสียงประกอบรถแห่ของไทย ได้เป็นสินค้าส่งออกไปแล้ว แม้แต่จีนก็ยังมาลอกเลียนแบบไป
การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรี อาหาร พื้นบ้าน การสาธารณสุข ยาสมุนไพรพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญา เป็นวัฒนธรรมพื้นบ้าน อย่างน้อยก็จะได้รับความสนใจมากขึ้น การทำเครื่องเสียงประกอบรถแห่ เป็นสินค้าส่งออกไปแล้ว แม้แต่จีนยังมาลอกเลียนแบบไป
มีข้อสังเกตว่า การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่ปรุงแต่งน้อย ตรงนี้ชาวตะวันตก (ฝรั่ง) จะชอบ เพราะมันธรรมชาติ บริสุทธิ์ เป็นแบบพื้นบ้านจริงๆ เพราะเขาต้องการมาเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเอเซียที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากเขา โดยเฉพาะในช่วงหนีหนาวของชาวตะวันตก ชาวสแกนดิเนเวีย รัสเซีย ยุโรป อเมริกา จะแห่กันมาท่องเที่ยวประเทศเขตร้อนแถบเอเชียที่มีภูมิทัศน์ที่โรแมนติก อุดมงดงามตามธรรมชาติ จุดขายด้านวัฒนธรรมของไทยก็ใช่ย่อย ยังไม่ตกยุคเป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกมาก ไม่แพ้ที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย
วัฒนธรรมที่ถูกซ้อนทับกันเป็นทอดๆ คล้ายกันกับการบริหารที่ซ้อนทับกันอยู่ ทำให้วัฒนธรรมมีการปรุงแต่ง ทำให้ขาดความเป็นตัวของตัวเองไปได้ เช่น หมอลำก็ใช้เครื่องดนตรีคีย์บอร์ด กีตาร์ มาประกอบแคน พิณ (ซึง) เป็นต้น หรือ อย่างบั้งไฟ ปัจจุบันก็ใช้ท่อพีวีซี ที่มีความแข็งแกร่งกว่าไม้ไผ่ตามธรรมชาติ ทำให้บรรจุดินดำได้มากกว่าปกติ จึงจุดบั้งไฟได้สูงกว่าอดีต หรือที่ซ้ำร้าย มีว่า ใช้ทีเอนทีผสมในดินดำเพื่อให้มีความแรง เสียงดังมากขึ้น เช่นใส่ในประทัด หรือใส่ในตะไลเพื่อให้จุดได้แรงได้สูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต
ปัญหาการท่องเที่ยวในประเทศไทย
แม้ว่าจุดเด่น จุดขายทางวัฒนธรรม ที่เป็นภูมิ(ปูม)หลัง “กำพืด” หน่อแนว แต่การระบาดของโควิดถือเป็นการ Set zero ภาคการท่องเที่ยว เพราะโลกหลังโควิด (pandemic) การท่องเที่ยวไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มองที่มิติตัวปัญหาชุมชนและท้องถิ่น (Community and Locality) ที่พบว่าปัญหาที่มีมาแต่เดิมก็คือ ความเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อมเกิด “โอเวอร์ทัวริซึ่ม” หรือมีนักท่องเที่ยวเกินขีดความสามารถในการรองรับของระบบท่องเที่ยว ซึ่งก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามมา มีผู้กล่าวว่าหากไม่รีบแก้ไขก็จะเกิด “หายนะในแบบช้าๆ” (Disaster in Slow Motion) คล้ายกับ “ทฤษฎีกบต้ม” เนื่องจากห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีขนาดใหญ่ครอบคลุมเกี่ยวข้องหลายส่วน ทำให้มีผู้ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์การท่องเที่ยวหยุดชะงักที่ไม่ได้มีแค่ผู้ประกอบการ แต่ยังมีแรงงานในภาคท่องเที่ยวอีกจำนวนมากด้วย
เศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทยมีมากเพียงใด
ไทยมีจุดขายในเศรษฐกิจการท่องเที่ยว (Visitor Economy & Tourism Industry) เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของ GDP ในแต่ละปีที่สูง มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจในเชิงมูลค่าเพิ่ม (value added) และการจ้างงาน
การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศ ข้อมูลปี 2553 การท่องเที่ยวไทยมีแค่ 6-8% ของ GDP ปี 2561, 2562, 2563 เติบโตขึ้นเป็นสัดส่วน ถึง 12%, 20% และ 21% ของ GDP ตามลำดับ
ปี 2562 ภาคการท่องเที่ยวไทยสร้างรายได้มูลค่าถึง 3 ล้านล้านบาท หรือเป็นสัดส่วน 20% ต่อ GDP ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติรายได้ราว 2 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวไทยภายในประเทศมูลค่า 1 ล้านล้านบาท หรือ 1 ใน 3 จากยอดนักท่องเที่ยวทั้งหมด 39.7 ล้านคน ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมามีนักท่องเที่ยวถึงปีละ 11 ล้านคน ในรอบ 5 ปี (2015 – 2020) มีจำนวนถึง 183 ล้านคน (เฉลี่ยปีละ 30.5 ล้านคน) จำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาไทยมากถึง 10.99 ล้านคน หรือกว่า 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด แต่หลังจากเกิดโควิดไม่มีนักท่องเที่ยวจากจีนเพราะปิดประเทศ ส่งผลให้ในปี 2563 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยทั้งสิ้นเพียง 6.7 ล้านคน ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยเดินทางเที่ยวในประเทศราว 95-100 ล้านคน-ครั้ง ส่งผลให้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวหดตัวเหลือแค่ 7.5 แสนล้าน หรือลดลงราว 70-80%
ปัจจุบัน (2563) รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมีสัดส่วนถึง 2/3 ของรายได้ทั้งหมด ก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศประมาณ 4 ล้านคน
ปี 2565 มีเป้าหมายรุกตลาดต่างชาติที่มีความเฉพาะมีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงอย่างเช่นกลุ่มที่รักสุขภาพ กลุ่มที่มารักษาตัว กลุ่มแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ ขยับค่าใช้จ่ายต่อคนต่อการเดินทางจาก 47,000 บาทเป็น 62,000 บาทหรือเพิ่มขึ้นประมาณ 30% เพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทำรายได้ใกล้เคียงกับปี 2562 แม้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยกว่าครึ่งต่อครึ่ง
ความหมายการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (cultural based tourism)
การท่องเที่ยว (Tourism) มีหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ “การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม” เพราะ ไทยมีมรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage) จำนวนมาก เช่น ปราสาท พระราชวัง วัด โบราณสถาน โบราณวัตถุประเพณี และวิถีการดำเนินชีวิต เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทยมายาวนานเนื่องจากประเทศไทยเป็นแหล่งอารยธรรมที่รุ่งเรืองมาแต่ครั้งอดีต ที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ ภูมิสังคมที่แตกต่างในแต่ละพื้นที่
เป็นคำที่เกิดขึ้นจากการประชุมสภาการโบราณสถานระหว่างประเทศ (International Council on Monuments and Sites: ICOMOS) ที่เมืองออกซ์ฟอร์ด ค.ศ.1969 สรุปความหมายคือ การเที่ยวชมสถานที่วัฒนธรรมชุมชน เพื่อศึกษาหาความรู้ในพื้นที่หรือในบริเวณที่มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตของคนในชุมชน มีการบอกเล่าเรื่องราวของสังคมผ่านองค์ความรู้ต่างๆ และสามารถถ่ายทอดให้เราได้เห็นคุณค่าของประวัติ ความเป็นมา การดำเนินชีวิต หรือสภาพแวดล้อมของผู้คนในแต่ละยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นแง่เศรษฐกิจ สังคม หรือขนบธรรมเนียมประเพณี ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (2560-2564) กระแสแนวคิดวัฒนธรรมข้ามชาติได้เริ่มทยอยเข้ามาสู่สังคมไทยมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของวัฒนธรรมท้องถิ่นระดับภูมิภาคต้องปรับเปลี่ยนสู่ความทันสมัย เกิดกระแสการกลืนกลายทางวัฒนธรรม (Cultural Assimilation) ที่ต้องพัฒนาตามแนวทาง “วิถีถิ่น วิถีไทย”
สรุปรูปแบบการท่องเที่ยวในแหล่งวัฒนธรรม (cultural based tourism) ประกอบด้วย การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ (historical tourism) การท่องเที่ยวงานชมวัฒนธรรมและประเพณี (cultural and traditional tourism) การท่องเที่ยวชมวิถีชีวิตในชนบท (rural/village tourism) นอกจากนี้ยังรวมถึง วิถีชีวิต เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย อาหาร วัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้าน เทศกาลท้องถิ่น เทคโนโลยีหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นที่นำมาใช้เฉพาะท้องที่นั้น
สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
ขอประมวลนับแต่ปี 2559 กระทรวงวัฒนธรรมได้เผยแพร่และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมานานแล้ว ที่สำคัญรวม 9 ชุมชน ได้แก่ (1) ชุมชนบ้านผาบ่อง ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน (2) ชุมชนเมืองลับแล ตำบลศรีพนมมาศ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ (3) ชุมชนบ้านดอนข่า ตำบลชนบท อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น (4) ชุมชนญัฮกุร ตำบลบ้านไร่ อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ (5) ชุมชนไทยเบิ้ง บ้านโคกสลุง อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี (6) ชุมชนเกาะพิทักษ์ ตำบลบางน้ำจืด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร (7) ชุมชนเขาอ้อ สำนักตักศิลาเขาอ้อ ตำบลมะกอกเหนือ อำเภอควนขุน จังหวัดพัทลุง (8) ชุมชนบ้านท่าหิน ตำบลท่าหิน อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา (9) ชุมชนบ้านบ่อน้ำร้อน ตำบลตาเนาะแมเราะ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา
เว็บกระปุก (2561) แนะนำเชิญชวนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 14 ชุมชน ความสุขอยู่ใกล้แค่เอื้อม เที่ยวไปทั่วไทย ได้แก่ (1) ชุมชนไทลื้อเมืองมาง เมืองหย่วน จังหวัดพะเยา (2) ชุมชนบ้านลาวเวียง จังหวัดอุตรดิตถ์ (3) ชุมชนวัดศรีฐานปิยาราม จังหวัดเพชรบูรณ์ (4) ชุมชนนาถ่อน จังหวัดนครพนม (5) ชุมชนบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี (6) ชุมชนบ้านยวน นครจันทึก จังหวัดนครราชสีมา (7) ชุมชนย่านนางเลิ้ง กรุงเทพฯ (8) ชุมชนบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดสุพรรณบุรี (9) ย่านเมืองเก่าริมแม่น้ำเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี (10) ชุมชนหัวบ้าน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (11) ชุมชนตลาดบางหลวง ร.ศ.122 จังหวัดนครปฐม (12) ชุมชนไทยพวน จังหวัดนครนายก (13) ชุมชนตลาดใหญ่ จังหวัดพังงา (14) ชุมชนนาหมื่นศรี จังหวัดตรัง
ShopBack Blog (2563) แนะนำเชิญชวนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 10 สถานที่เที่ยวสนุก อบอุ่นหัวใจ แถมไปได้ทุกฤดูได้เรียนรู้วิถีชุมชน ได้แก่ (1) สยามนิรมิต กรุงเทพมหานคร (2) บ้านป่าแป๋ จ.แม่ฮ่องสอน (3) ชุมชนไทลื้อเมืองมาง เมืองหย่วน จ.พะเยา (4) บ้านลาวเวียง จ.อุตรดิตถ์ (5) บ้านขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการ (6) ชุมชนอ่าวคราม จ.ชุมพร (7) บ้านเกาะกลาง จ.กระบี่ (8) ชุมชนวัดศรีฐานปิยาราม จ.เพชรบูรณ์ (9) ชุมชนนาถ่อน จ.นครพนม (10) บ้านยวน นครจันทึก จ.นครราชสีมา
ที่จริงแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของไทยมีมากมายที่รอการเจียระไนแต่งองค์ทรงเครื่อง ที่รัฐต้องนำหน้าส่งเสริมจะปล่อยให้ชุมชนหรือเอกชนริเริ่มดำเนินการเองจะไม่เติบโต โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่น่าดึงดูด เช่น ตามประเพณีฮีต 12 แม้ว่าจะมีโครงการชุมชน “นวัตวิถี” โดยกรมการพัฒนาชุมชนก็ตาม แต่ยังมิใช่แนวทางที่การท่องเที่ยวท้องถิ่นควรจะเป็น มีข้อเสนออื่น เช่น การท่องเที่ยวแบบ “พอเพียง” ก่อนฤดูหนาว บ้านรุ่งอรุณ จีนยูนนาน จ.แม่ฮ่องสอน เป็นต้น หวังว่ารัฐต้องจริงจังกับเรื่องนี้เพราะเป็นแหล่งรายได้สำคัญ