คณะผู้บริหารและบุคลากรสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ฟอร์มทีมร่วมการระดมความเห็นกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) ระดับกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 (พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ ตาก) ณ โรงแรมท็อปแลนด์ จ.พิษณุโลก นำโดย รศ.ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ ที่ปรึกษาผู้อำนวยการ สกสว. และ ผอ.สำนักและพัฒนากองทุน
ผศ.สุภาวดี โพธิยะราช ผู้เชี่ยวชาญระดับสูง กลุ่มภารกิจพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ด้านสังคม สิ่งแวดล้อม เชิงพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำ และ ดร.ฉัตรฉวี คงดี ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักกลยุทธ์และพัฒนากองทุน เพื่อร่วมศึกษากระบวนการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระดับพื้นที่ ศึกษาการเชื่อมโยงกับแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ฉบับปี 2566-2570 ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ จัดขึ้น เพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนใน 18 กลุ่มจังหวัด นำมาประกอบการกำหนดกรอบของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 โดยมี นายรณชัย จิตวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก และ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้การต้อนรับ ซึ่งการจัดงานวันนี้มีผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน นักวิชาการ เข้าร่วมกว่า 150 คน
ศาสตราจารย์ ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า สภาพัฒน์ให้ความสำคัญต่อกระบวนการระดมความเห็นจากทุกภาคส่วนมาก ผ่านการจัดการประชุมในระดับภูมิภาค 18 กลุ่มจังหวัด เนื่องจากเป็นข้อมูลสำคัญจากความต้องการจริงของพื้นที่ ที่แต่ละภูมิภาคมีบริบทเชิงพื้นที่ และภูมิศาสตร์แตกต่างกัน ในการพัฒนากรอบแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 13 ซึ่งอยู่ในช่วงของแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตลอดระยะเวลาการจัดทำแผนที่ผ่านมามุ่งเน้นเรื่องการที่ประเทศต้องพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งสอดคล้องกับที่สาธารณรัฐประชาชนจีนมุ่งเน้นเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ด้าน นางสาวจินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ข้อมูลสำคัญถึงแนวทางการพัฒนา ร่างกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เช่น ภายใน 30 ปี ประชากรของโลกจะอาศัยในเขตเมือง โควิดทำให้จีดีพีโลกปี 2563 ที่ผ่านมาหดตัว 4.3% อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 6.5% และชั่วโมงการทำงานลดลง สำหรับในไทยจากสถานการณ์โควิด ทำให้จีดีพีหดตัว 6.1% อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 1.9% 31.6% ของแรงงานอยู่ในภาคเกษตร แต่สร้างมูลค่าเพิ่มเพียง 6% ของจีดีพี นอกจากนี้ โควิดทำให้เศรษฐกิจไทยเปราะบางขึ้นจากหนี้ครัวเรือน NPLs และหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้คือตัวเลขสำคัญส่วนหนึ่งที่สภาพัฒน์ทบทวน และนำมาออกแบบกรอบแผนพัฒนาฯ ฉบับดังกล่าว
อนึ่ง หลังการประชุมครั้งนี้ คณะทำงานด้านแผนวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (แผน ววน.) สกสว.จะได้นำข้อมูล กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) ซึ่งเป็นแผนระดับ 2 ของประเทศ มาประกอบการจัดทำแผนด้าน ววน. ฉบับปี พ.ศ. 2566-2570 ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมต่อไป
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEsผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *
SMEs manager